Ayutthaya One Day Trip
ทริปนี้จะออกไปทางเส้นบางบัวทองก็ได้ แต่เราไปขึ้นทางด่วนที่ด่านบางซื่อ คลองประปา แล้วไปจนสุดทาง ออกถนนกาญจนาภิเษก สักพัก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 347 วิ่งไปประมาณ 22กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข3263 จะเจอป้ายบอกทางไปวัดท่าการ้อง ตามป้ายไปจนถึงวัดเลยครับ
ถึงวัดท่าการ้องแล้ว
รูปปั้นเณรน้อย
พระประธาน หลวงพ่อยิ้ม หรือหลวงพ่อรัตนมงคล
ริมฝั่งน้ำ
วัดนี้เลื่องลือว่าห้องน้ำสะอาดแถมมีห้องติดแอร์ด้วย แต่ห้องน้ำผู้ชายที่เข้าไปเห็นแต่พัดลม หาห้องที่มีแอร์ไม่เจอครับ
ภายในบริเวณวัด
มีพระธาตุให้สักการะด้วย
แล้วไปต่อที่วัดกษัตรราธิราชวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร
ข้อมูลวิชาการได้จากเว็บสถาบันอยุธยาศึกษา และเว็บไทยตำบลดอทคอม
ฟ้าสวยมาก ๆ
พระพุทธรูปประจำพระวิหาร
วัดไชยวัฒนาราม สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าปราสาททอง
สวยงามมากครับ แต่แดดแรงมากก็เลยขอดูอยู่ด้านนอกเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปเดินด้านใน
วิหารพระมงคลบพิตร
มีการซ่อมแซมหลายครั้ง ทั้งสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ต่อมาสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการสร้างวิหารพระมงคลบพิตรขึ้นใหม่ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
มีพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ ไม่มีประวัติว่าสร้างตั้งแต่เมื่อใดและใครสร้าง
วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยู่ใกล้ ๆ ติดกับวิหารพระมงคลบพิตร วัดนี้ก็ชมดูอยู่แค่ด้านนอกครับ
วัดพระศรีสรรเพชญ์เป็นวัดสำคัญที่สุดของราชสำนักอยุธยา มีฐานะเป็นวัดส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐาน จึงไม่มีพระสงฆ์จำอยู่ในวัด
เจดีย์ทั้งสามองค์นี้ มักพูดกันติดปากว่า "เจดีย์สามพี่น้อง" อันที่จริงแล้ว เจดีย์ทั้งสามมีฐานะเปรียบดังเครือญาติได้ดังนี้ เจดีย์องค์แรกคือเจดีย์พระบิดา สร้างเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เจดีย์องค์กลาง คือเจดีย์โอรสองค์ใหญ่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และองค์สุดท้าย คือเจดีย์โอรสองค์รอง สมเด็จพระรามาธิปดีที่ 2 ถ้าจะเปรียบดังเครื่องญาติแล้วก็คือ เจดีย์ พ่อ ลูกคนโต ลูกคนเล็ก จึงจะถูกต้อง
วัดหน้าพระเมรุสร้างขึ้นในสมัยของพระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ. 2046 โดยมีชื่อดั่งเดิมว่า วัดพระเมรุราชิการาม วัดหน้าพระเมรุนี้เคยเป็นที่พระมหาจักรพรรดิใช้ทำสัญญาสงบศึกกับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เมื่อ พ.ศ. 2092 คราวสงครามช้างเผือก
เป็นวัดเดียวใน กรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลาย และยังมีสภาพดี เพราะทหารพม่าได้มาตั้งกองบัญชาการอยู่ที่นี่
หน้าบันของอุโบสถเป็นไม้แกะสลัก ลงรักปิดทองประดับกระจก รูปแกะสลักเป็นพระนารายณ์ทรงครุฑ ซึ่งเหยียบอยู่บนเศียรของพญานาค ล่างลงไปเป็นราหู ล้อมรอบด้วยหมู่เทวดาประนมมืออยู่ 26 องค์ ประตูเข้าด้านหน้าอุโบสถมีถึง 3 บาน ช่องกลางซึ่งด้านบนประดับเป็นยอดปราสาทมีขนาดใหญ่ตามคติที่ว่าเป็นประตูสำหรับบุคคลสำคัญเท่านั้น ต่อมาได้รับการดัดแปลงให้กลายเป็นซุ้มหน้าต่างแทนประตู
ภายในมีพระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง ประทับนั่งปางมารวิชัย หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้
พระพุทธรูปทรงเครื่องอาจหมายถึง พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ห้าที่จะได้เสด็จมาสั่งสอนและนำสังคมอันอุดมสมบูรณ์สงบสุขในอนาคต ปัจจุบันพระองค์ยังเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์จึงทรงเครื่องเช่นเทวดาทั้งหลาย หรืออาจอธิบายว่าเป็นเรื่องของพุทธประวัติ คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานพญามารชมพูบดี ด้วยพญามารอวดตนมั่งคั่งร่ำรวย แต่งกายสวยงาม พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตพระองค์ให้มีความงามกว่าพญามาร ดังนั้น พญามารจึงยอมรับพระพุทธเจ้า เป็นการปราบมารในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
พระอุโบสถใหญ่นี้ยาวถึง 9 ห้อง (ประมาณ 41 เมตรครึ่ง) ตั้งอยู่บนฐานสูงทำให้ตัวพระอุโบสถดูสูงใหญ่ตระการตา
พระวิหารน้อย ภายในมีพระคันธราฐ พระพุทธรูปแบบทวารวดีหินสีเขียวดำขนาดใหญ่เต็มวิหาร ประทับนั่งวางพระบาทอยู่บนดอกบัวบาน ด้านหลังมีจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เลือนหายไปเกือบหมดแล้ว
วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุ หมายถึง วัดอันเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นในสมัยขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปี พ.ศ. 1917 แต่เข้าใจว่าการก่อสร้างเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระราเมศวร
จารีตของการสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่เอาไว้ในเมือง ซึ่งถือสมมุติว่าพระเจดีย์นั้นเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุ และวัดนั้นถือว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ ทั้งมักจะมีชื่อว่า วัดมหาธาตุ หรือ วัดพระศรีมหาธาตุ หรือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ปรากฏโดยทั่วไปในทุกภูมิภาค จารีตดังกล่าวนี้จะเริ่มในสมัยใดนั้นไม่ทราบได้ แต่หากจะพิจารณาเฉพาะอาณาจักรอยุธยา จะเห็นได้ว่าธรรมเนียมดังกล่าวเริ่มตั้งแต่สมัยแรก ๆ ทีเดียว
วัดมหาธาตุจึงเป็นวัดที่สำคัญที่สุดวัดหนึ่งของอาณาจักร ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า อีกทั้งหากจะพิจารณาดูสถานที่ตั้งก็จะเห็นว่าอยู่ใกล้ชิดกับพระบรมมหาราชวังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นวัดนี้จึงเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ฝ่ายคามวาสี) มาตลอดจนสิ้นกรุงศรีอยุธยา (ส่วนพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีนั้น ประทับอยู่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล หรือ สำนักวัดป่าแก้ว)
มีเศียรพระพุทธรูปในรากต้นไม้
วัดใหญ่ชัยมงคล
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง) ให้สร้างเมื่อ พ.ศ.1900 เดิมชื่อว่า “วัดป่าแก้ว” ต่อมาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสริมพระเจดีย์ให้ใหญ่และสูงขึ้น เมื่อปี 2135 โดยคำแนะนำของสมเด็จพระวันรัตน์วัดป่าแก้ว ให้ทรงสร้างเจดีย์ไว้เป็นที่ระลึกเพื่อเฉลิมพระเกียรติที่ได้ทำศึกชนะพระมหาอุปราชแห่งเมืองหงสาวดีและเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดชัยมงคล” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดใหญ่ชัยมงคล” เมื่อเข้าเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะเห็นองค์พระเจดีย์ของ วัดใหญ่ชัยมงคล ตั้งสูงเด่นอยู่ริมทุ่งเห็นแต่ไกล
พระไสยาสน์ หรือ พระนอน
วิหารพระนอนขนาดใหญ่ที่ปรักหักพัง มีพระนอนหรือพระไสยาสน์หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก พระเศียรไปทางทิศใต้ ซึ่งองค์เดิมนั้นได้ถูกนักแสวงโชคขุดทำลายจนพังไปหมดแล้ว องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่สร้างขึ้น
จบทริปวันนี้ที่วัดนี้ครับ เพราะวัดต่อไปปิดซะแล้วตอนที่ไปถึง แล้วก็ขับรถกลับกรุงเทพย้อนทางเดิมตอนมา
วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552
ทริปวันเดียว เที่ยวอยุธยา ช่วงปีใหม่ Ayutthaya One Day Trip
ป้ายกำกับ: วัดเก่า, วัดโบราณ, วัดมหาธาตุ, วัดหน้าพระเมรุ, อยุธยา, Ayutthaya, old temple, One Day Trip
เขียนโดย GM TOUR ที่ 09:19
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
3 ความคิดเห็น:
ฟ้าสวยมากครับ
ไม่รู้ว่าใช้ CG ช่วยหรือป่าว
งานอยุธยาแฟร์ (AYUTTHAYA FAIR 2010) ศาลากลาง จ.พระนครศรีอยุธยา
ขอแนะนำเพื่อนๆ เที่ยวงานอยุธยาแฟร์ (AYUTTHAYA FAIR 2010) ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 4 เมษายน 2553 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ บริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ริมถนนสายเอเชีย เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่อง
เที่ยวของอยุธยากันน๊ะค่ะ
ดูรายละเอียด http://talk.edtguide.com/%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%98%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%9f%e0%b8%a3%e0%b9%8c-ayutthaya-fair-2010.html
koh samui hotels
แสดงความคิดเห็น