Russia Trip เที่ยวรัสเซีย ไปได้ง่าย ๆ ตอนที่1
เราออกเดินทางจากบ้านเวลาประมาณ 6โมงเช้า รถไม่ติดเลย ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประมาณ 7โมงไปรอเช็คอินที่แถวP ของสายการบิน Aeroflot ตอนไปถึงยังไม่เปิดให้เช็คอินเลย พอเช็คอินเสร็จก็เอาข้าวเหนียวเนื้อทอดมากินมื้อเช้ากัน แล้วก็เข้าไปตม.ขาออก คนเยอะมาก แล้วน้องก็ไปเข้าคิวติดต่อรับของที่มีคนฝากให้หิ้วไปเที่ยวด้วยจากคิงส์พาวเวอร์ ปรากฏว่าของอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ต้องเสียเวลารอของเกือบครึ่งชั่วโมง ทำเอาบรรยากาศไม่ค่อยดีเพราะกลัวตกเครื่องกัน พอได้รับของแล้วก็รีบเดินไปที่Gate รอเข้าเครื่อง
บรรยากาศบนเครื่องบินก็เหมือนสายการบินอื่นที่เคยนั่ง ที่นั่งกว้างนั่งสบาย แต่ไม่มีอุปกรณ์บันเทิงอะไรเลย และที่นั่งแถวกลางไม่มีช่องเก็บกระเป๋าเหมือนข้อมูลที่ได้ทราบมาก่อน
อาหารบนเครื่องก็อร่อยใช้ได้ กินซะเกลี้ยงเลย
มองลงมาจากเครื่องบินตอนบินอยู่สูง ๆ มองเห็นพื้นขาว ๆ ก็ไม่คิดว่าเป็นหิมะ เพราะเช็คอากาศก่อนมาอยู่ที่ -2 ถึง 6 องศา คิดว่าหิมะน่าจะละลายหมดแล้ว ก็เลยเปรยกับแม่ว่า สงสัยแถวนี้เขาทำนาเกลือกันเห็นขาวทั้งแถบเลย เท่านั้นแหละได้เรื่อง แม่ขำไม่หยุดเลย ลงจากเครื่องบินแล้วก็ยังขำไม่เลิก ว่าทำไมลูกคนนี้มันบ้านนอกได้ขนาดนี้ ที่รัสเซียมันจะมีนาเกลือได้ยังไง เราก็หน้าแตกยับเยิน ต้องฟังแม่หัวเราะมาตลอดทางตั้งแต่ตอนนั้น แต่รูปนี้มันเห็นชัดเจนนะครับว่าแม่น้ำแข็งเป็นน้ำแข็ง ถ้าเห็นแบบนี้แต่แรกก็คงไม่ต้องหน้าแตก แต่คิดอีกทีก็ดี เพราะไม่เคยเห็นแม่หัวเราะได้ม่วนขนาดนี้มานานแล้ว
พอลงจากเครื่องมาที่สนามบินSheremetyevo Terminal 2 รับกระเป๋าที่โหลด แล้วก็ต่อคิวรอตรวจเข้าเมือง เที่ยวบินของเรามีทัวร์ไทยมาด้วยหลายสิบชีวิต พวกเรารอเป็นคิวท้าย ๆ เพราะได้กระเป๋าช้า เคาน์เตอร์ส่วนใหญ่จะมีลูกทัวร์ไทยผ่านแล้วทั้งนั้น เราก็คิดว่าพวกเราคงไม่มีปัญหาอะไร ก็ตาม ๆ เขาไป ปรากฏว่าเจอทีเด็ดตม.รัสเซียจนได้ เพราะเจ้าหน้าที่มีการตัดแถวไปให้เข้าช่องที่เพิ่งเปิดตอนแรกเราก็ว่าจะรอแถวที่ทัวร์ผ่านแล้ว แต่เจอเจ้าหน้าที่ต้อนไปช่องใหม่ เราก็เอาก็เอา คงจะไม่เจออะไร แต่ว่า เจ๊ตม.ช่องใหม่นี่เรียกดูเอกสารเพิ่มทุกอย่างเลย พี่แกพลิกหาวีซ่าใหญ่เลย เราก็เลยต้องเอาเอกสารภาษารัสเซียที่เตรียมมาเรื่องไม่ต้องมีวีซ่าให้แกดู
แล้วยังไม่พอแกยังพูดอะไรมาอีกก็ไม่รู้ เราฟังไม่รู้เรื่องก็เลยเอาใบจองโรงแรมที่มอสโกให้ดู แกดูแล้วก็ยังพ่นรัสเซียมาอีกยาวปรื๋อ เราก็เอ๊ะจะเอาอะไรกับเราอีกเนี่ย ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าน่าจะเป็นใบจองโรงแรมในวันที่เหลือที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก็เลยเอามาส่งให้เจ๊ไป พอรับอันนี้ไปแล้วแกก็พึมพำอะไรอีกสักพักถึงจะยอมประทับตราให้เราผ่านไปได้ โชคดีจริง ๆ ที่เป็นเราที่เจอแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะคงจะลำบากเพราะเอกสารจองโรงแรมเราเก็บอยู่คนเดียว ไม่ได้สำเนาให้คนอื่นถือด้วย
ผ่านจากตม.มาได้ ก็เดินออกประตูทางออก เจอแท็กซี่เข้ามารุม เราก็ส่ายหัวไม่ไปอย่างเดียว แล้วก็เดินข้ามถนนด้านหน้าสนามบินไปทางด้านซ้าย จะเห็นป้ายรถบัสที่มีคนยืนรอเป็นแถวอยู่ เราก็ยืนรอบ้างจนเห็นรถบัสสีขาวสาย851 เข้ามาก็ขึ้นประตู ด้านคนขับ จ่ายเงินให้คนขับ เราไปกัน4คน ยกนิ้วขึ้นมา4นิ้ว หมายความว่า จ่าย4คน ยื่นแบงค์100รูเบิ้ลให้พอดีไม่ต้องทอน คนขับจะให้ตั๋วมา 4ใบ ตามจำนวนคนขึ้น แต่ละคนจะต้องใส่ตั๋วเข้าไปในเครื่องอ่านตั๋ว ใส่ด้านที่มีลูกศรสามเหลี่ยมแหลม ๆ เข้าไป ถ้าเครื่องไม่อ่านแสดงว่าใส่ผิดด้านให้พลิกเอาอีกด้านเข้าแทน แต่ยังคงยื่นด้านลูกศรเข้าเครื่องนะครับ ตอนขากลับมีฝรั่งอเมริกันใช้ตั๋วไม่เป็น เดือดร้อนถึงคุณแม่ ต้องไปสอนวิธีใส่ตั๋วให้ฝรั่งด้วย ยอดจริง ๆ แม่เรา
หลังจากเครื่องอ่านตั๋วแล้วจะมีไฟเขียวขึ้น คนที่มีกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากก็สามารถเดินผ่านที่กั้นเข้าไปได้แต่ถ้ากระเป๋าใบใหญ่ให้ระวัง เพราะถ้าเดินไปพร้อมกระเป๋าจะเดินหน้าหรือหลังกระเป๋าก็ตาม จะไม่สามารถเอากระเป๋าผ่านเข้าไปได้
ทริคในการเอากระเป๋าผ่านที่กั้นคือ ถ้ากระเป๋ายังสามารถลอดผ่านความสูงของที่กั้นไปได้ให้ผลักกระเป๋าเข้าไปก่อนให้เลยที่กั้นไปให้ไกลพอที่จะไม่โดนที่กั้นผลักไปโดนแล้วติดกระเป๋า จากนั้นค่อยเดินตามกระเป๋าเข้าไป ถ้าไม่ระวังจะตกอยู่ในสภาพคาอยู่ในที่กั้น จะผ่านก็ผ่านไปไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ (ที่กั้นที่ว่า จะมีลักษณะเหมือนทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีแกนหมุนผ่านไปได้ทีละคนนั่นแหละครับ)
พอผ่านที่กั้นมาได้แล้วก็นั่งหรือยืนจนสุดทางที่สถานีเมโทร Rechnoy Vokzal ซึ่งเป็นต้นทางของรถไฟใต้ดินสายสีเขียวเข้ม แล้วก็ลงรถ ลงเดินตามคนอื่น หาป้ายทางเข้าเมโทร รถไฟใต้ดินให้เจอ จากนั้นที่พักใครอยู่สถานีไหนก็ตามสะดวกแล้วครับ
บันไดเลื่อนทางลงเมโทรที่มอสโกหลายสถานีที่ลึกมาก
ตั๋วรถไฟใต้ดินที่มอสโกเป็นชนิดนับจำนวนเที่ยว มีขายหลายแบบ ที่พวกเราจะใช้กันก็เป็นแบบ ตั๋วเที่ยวเดียว ราคา 21รูเบิ้ล ตั๋ว10เที่ยว ราคา 200รูเบิ้ล ตั๋ว20เที่ยว ราคา 380รูเบิ้ล มีตั๋ว60เที่ยวด้วย ราคา จำไม่ได้ แต่ราคาต่อเที่ยวถูกกว่าแบบ 20เที่ยว ถ้าไปกันหลายคนก็คุ้มครับ อย่างพวกผมไปกันสี่คนอยู่ที่มอสโกสามวัน ก็ใช้ตั๋ว20เที่ยวไป3ใบแล้วซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเพิ่มอีก ถ้าซื้อ60เที่ยวเลยแต่แรกก็ใช้หมด แต่ตั๋ว60เที่ยวก็มีความเสี่ยงเรื่องตั๋วหายอยู่นะครับลองพิจารณาดู
เนื่องจากไม่ได้หัดพูดภาษารัสเซียไว้ เวลาจะซื้อตั๋วก็เลยพริ้นท์ภาษารัสเซียเตรียมไว้แบบนี้ (ให้อาจารย์กูเกิ้ลช่วยแปล) แล้วยื่นให้เขาดูพร้อมจ่ายเงินไป(ถ้าจ่ายพอดีไม่ต้องทอนจะยิ่งดี)
I want to buy a magnetic ticket card (train) for 20 trips - 380R Я хочу купить билет магнитной карты (поезда) на 20 поездок - 380R
เท่านี้เราก็จะได้ตั๋ว20เที่ยวมาใช้แบบง่าย ๆ แล้วครับ
รูปจากสถานี Smolenskaya (Смоленская) สายสีน้ำเงิน สายที่3
วิธีใช้ตั๋วง่ายที่สุดก็สังเกตุคนที่เดินผ่านเข้าช่องทางเข้าก่อนนะครับแล้วก็ทำตามเขา ถ้าใช้ตั๋วแบบเที่ยวเดียวก็ไม่ยุ่งยากอะไร แตะบัตรไปตรงจุดอ่านบัตร รอให้ไฟเขียวขึ้นแล้วก็เดินผ่านช่องทางเข้าไป ถ้าไฟเขียวยังไม่ขึ้นอย่าเพิ่งเข้าไปนะครับเพราะมันจะหนีบทันทีที่คุณเดินเข้า แต่ถ้าคุณช้าเกินไป ไม่ทันจังหวะ มันก็จะหนีบคุณอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นบัตรเที่ยวเดียวคุณก็จะควบคุมจังหวะตรงนี้ได้ไม่ยาก แต่ถ้าใช้บัตร10เที่ยว 20เที่ยวแบบเรา ก็จะต้องมีคนนึงคอยถือบัตรแนบกับจุดอ่านบัตรแล้วให้จังหวะคนอื่นเดินผ่านเข้าไป จนครบหมดแล้วตัวเองถึงจะเข้าไปได้ ส่วนขาออกจากสถานีเดินออกไปได้เลยไม่ต้องใช้บัตรอีก แต่ต้องออกด้านทางออกให้ถูกทางนะครับ
ถ้าเราไม่รีบก็ให้ชิดขวาของบันไดเลื่อนนะครับ ส่วนคนรีบก็เดินทางซ้าย พอลงบันไดเลื่อนลงมาใต้ดินแล้วก็จะมาเจอชานชลาจะมีสองข้าง ซ้าย-ขวา วิธีดูว่าเราจะต้องไปทางไหนให้ดูจากป้าย....ที่หางลูกศรจะเป็นสถานีที่เราอยู่ ถัดขึ้นไปทางด้านหัวลูกศรคือสถานีที่รถไฟจะไปต่อไป ถ้ามีชื่อสถานีที่เราต้องการไปก็แสดงว่าถูกทาง เช็คดูชื่อสถานีถัดไปอีกครั้งให้แน่ใจ แล้วก็รอขึ้นรถไฟได้ ประตูจะหนีบแรงมาก ประตูจะเปิดเป็นเวลาสั้น ๆ ประมาณ 45วินาที รถไฟมาถี่มากทุกสองนาที ไม่ต้องรีบ ถ้าไม่ทันให้รอขบวนต่อไป
รถไฟที่นี่ไม่ซับซ้อนเหมือนรถไฟญี่ปุ่น ถ้ายืนถูกชานชลาก็จะขึ้นรถไฟได้ถูก เป็นระบบที่ง่าย ถ้าที่ญี่ปุ่นจะต้องเช็คเวลา เช็คสีขบวนด้วย รถไฟรัสเซียแยกชานชลากันชัดเจน ถ้าต้องการเปลี่ยนสายจะต้องมีการเดินย้ายชานชลาทุกครั้ง คนใช้ไม่ต้องมีความรู้มากก็สามารถเข้าใจได้ แต่ต้องเดินเยอะหน่อยเวลาเปลี่ยนสาย
วิธีดูป้ายที่ชานชลา ตัวอย่าง ขณะนี้เราอยู่ที่สถานี Komsomolskaya (Комсомольская) สายสีแดง สายที่1 ตรงกับหางลูกศร เราต้องการจะไปต่อรถไฟสายสีส้มที่สถานี Chistye Prydy (Чистые пруды) ซึ่งอยู่ถัดไปอีก 2 สถานี โดยสถานีถัดไปที่ผ่านคือสถานี Krasnye Vorota (Красные ворота) เราก็เช็คตัวอักษรภาษารัสเซีย ถ้าตรงกันตามนี้ก็รอขึ้นรถไฟขบวนถัดไปได้เลย
ขอเน้นว่าควรเช็คชื่อสถานีให้ตรงกันทุกตัวอักษรนะครับ เพราะเราเคยเช็คแค่4ตัวแรกเห็นมันตรงกันแล้วคิดว่าถูก ปรากฏว่าผิดทางครับ ที่สถานี Komsomolskaya (Комсомольская)นี้แหละครับ เพระอีกทางหนึ่งคือสถานี Krasnoselskaya (Красносельская) ซึ่งตัวอักษร4ตัวแรกมันเหมือนกับสถานี Krasnye Vorota (Красные ворота)
พอขึ้นรถไฟไปแล้วก็นับจำนวนสถานีว่ากี่สถานีถึงสถานีที่เราจะลง พอลงมาแล้วก็มองหาป้ายสถานีดูให้แน่ใจอีกครั้งก่อนเดินออกไปต่อรถขบวนอื่น หรือออกจากสถานี
ออกจากสถานีเมโทรก็ต้องมาเดินหาHostelที่พัก ชื่อถนนก็คล้าย ๆ กัน เลยประเดิมหลงทางตรงนี้ โชคดีที่เดินไปไม่นานก็มองเห็นโบสถ์เซนต์บาซิล เลยรู้ว่าผิดทาง ต้องย้อนกลับมาตั้งต้นที่สถานีอีกครั้ง ครั้งนี้เดินไปไม่นานก็เจอจุดสังเกตที่ถามทางHostelมาก่อน เลยหาทางขึ้นไปที่ห้องได้ไม่ยาก แต่ถ้าไม่ได้ถามจุดสังเกตมาก่อนคงจะหลงเตลิดไปไกลแน่ ๆ เพราะแผนที่กูเกิ้ลของที่นี่มันผิดอย่างแรงห่างจากของจริงไปหลายร้อยเมตรหรือประมาณสองสามบล็อกตึกเลย ดังนั้นถ้าโรงแรมที่พักไม่ใช่โรงแรมใหญ่ แต่เป็นประเภท Hostel หรือ Hotelเล็ก ๆ ละก็
ควรจะสอบถามจากทางโรงแรมโดยตรงว่าที่พักของคุณมีจุดสังเกตอะไรที่เห็นได้ชัด ๆ บ้าง อันนี้สำคัญมากเพราะที่พักเล็ก ๆ มักจะไม่มีป้ายบอกชื่อที่เห็นได้จากถนนนะครับ ป้ายชื่อโรงแร มจะมีอยู่ภายในตัวตึกหรือหน้าห้องพักเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเข้าไม่ถูกตึกจะหาโรงแรมไม่เจอแน่ ๆ ถามใครก็คงลำบาก ขนาดบอกแท็กซี่ก็ไม่รู้จัก แท็กซี่จะรู้แค่ถนนที่เราต้องการไปเท่านั้น ส่วนโรงแรมเราอยู่ตึกไหน เราต้องเป็นคนบอกแท็กซี่ว่าให้จอดให้ลงตรงไหนครับ
วันนี้พอเข้าที่พักได้ก็พักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ที่เครมลินครับ
เริ่มต้นตอนเช้าด้วยบะหมี่ถ้วยที่เอาไปจากเมืองไทย หลังจากมื้อนี้เราก็จะกินแต่ของรัสเซียตลอด ภารกิจแรกคือไปซื้อตั๋วรถไฟไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หลังจากที่พยายามซื้อทางอินเตอร์เน็ทจากเมืองไทยแล้วแต่ไม่สำเร็จเพราะเว็บไม่รับจ่ายเงินจากบัตรเครดิตที่ออกจากเมืองไทย
จากการที่ต้องเข้าเว็บรถไฟรัสเซียบ่อยทำให้เห็นว่าตั๋วรถไฟตู้นอนรอบที่เราต้องการมันลดจำนวนลงไปเรื่อย ๆ ก็เลยร้อนใจต้องรีบไปซื้อให้เสร็จตั้งแต่วันนี้เลย เราลงรถไฟใต้ดินไปขึ้นที่สถานี Komsomolskaya แล้วเดินขึ้นมาโผล่ด้านหน้าตึกแล้วลงใต้ดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามเพื่อไปสถานีรถไฟ Leningradsky vokzal (Ленингра́дский вокза́л) (ที่จริงสถานีนี้มีทางออกหลายทาง เพราะครั้งหลังที่มาอีกจะออกไปโผล่ที่ฝั่งตรงข้ามด้านข้างสถานีรถไฟเลย) พอข้ามมาแล้วก็งงว่าตึกไหนคือสถานีรถไฟLeningradsky ก็ต้องถามจากคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น ก็ได้คำตอบว่าคือตึกที่มีหอนาฬิกาด้านซ้ายนี้เอง
ที่จริงเราก็เตรียมรูปของสถานีไว้ในโปรแกรมเที่ยวนะ แต่ด้วยความที่มีเวลาทบทวนสิ่งที่เตรียมไว้น้อยเลยพลาดไป มาเห็นอีกทีก็ผ่านเวลาที่ต้องใช้ไปแล้ว
เข้าไปในตึกสถานีก็จะเจอเคาน์เตอร์ขายตั๋ว การซื้อตั๋วก็พริ้นท์ภาษารัสเซียเตรียมไว้เช่นเคย และจากที่เราไปกันสี่คนพอดี (ห้องนึงนอนได้4คน)ดังนั้นเราจึงต้องการนอนอยู่ตู้เดียวกัน (Place in a single compartment) ถ้าไปแค่คนเดียว ประโยคนี้ก็ไม่ต้องใช้ครับ มีอาหารกับไม่มีอาหารราคาต่างกันประมาณ 400รูเบิ้ลนะครับ แต่ไม่แน่เสมอไปว่ามีอาหารจะแพงกว่านะครับ ขึ้นอยู่กับเวลาที่ไปด้วย จากที่สังเกตยิ่งดึกยิ่งแพงครับ ถ้าเป็นขบวนที่มีแต่ตู้นอนก็จะแพงกว่าขบวนที่มีตู้รถชั้นสามอยู่ด้วย
How many tickets? - 4 Сколько билетов? - 4
Place in a single compartment: Разместить в одном купе:
Station of origin? – Moscow Станция происхождения? - Москва
Station of destination? - St.Petersburg Станция назначения? - Санкт-Петербург
What date? – 14 April Какие даты? - 14 апреля
14-04-2009 22:20 14-04-2009 22:20
Type of train wagon ? sleeping (K - coupe) Тип поезда вагон? спальные (K - купе)
Number of train? – 052 Номер поезда? - 052
with food с продовольствием
No food Нет продовольствия
พอพนักงานขายตั๋วเห็นกระดาษของเรา ก็ส่งเสียงประมาณว่ารอบที่เราเลือกไว้ เต็มแล้ว ต้องเอารอบอื่นแทน เราก็พยายามจะสื่อสารว่าถ้าตู้ที่มีอาหารเต็ม ขอตู้ที่ไม่เสิร์ฟอาหารก็ได้ แต่ไม่สำเร็จ คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็เลยจำยอมเอารอบที่คนขายจัดให้แทน ซึ่งเร็วกว่ารอบที่เราเลือกไว้หนึ่งชั่วโมง ทำให้เรามีเวลาดูโอเปร่าที่บอลชอยน้อยลงอีกหนึ่งชั่วโมง
ซื้อตั๋วรถไฟจากมอสโกไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กต้องใช้พาสปอร์ตด้วยนะครับ คนขายตั๋วจะบันทึกนามสกุล-ชื่อ ของเราเป็นภาษารัสเซีย และเลขที่พาสปอร์ต ลงเป็นข้อมูลบนหน้าตั๋ว และเมื่อจะขึ้นรถไฟ พนักงานบนรถไฟจะขอตรวจตั๋วกับพาสปอร์ตด้วยก่อนให้ขึ้นรถไฟ
พอได้ตั๋วแล้วเราก็รีบกลับไปที่เครมลินทันที เราเลือกไปลงที่สถานี Biblioteka im. Lenina (Библиотека имени Ленина) ในสถานีรถไฟใต้ดิน จะมีป้ายแบบนี้บอกให้รู้ว่าถ้าออกไปทางนี้จะไปที่ไหนได้บ้าง แต่เราอ่านอะไรไม่ออกเลย ก็เลยต้องสุ่มเดินออกไป ก็เลยออกไปทางออกด้านที่ไกลที่สุดเลย
พอออกมาจากสถานีแล้วหันไปด้านขวาก็จะเห็นโบสถ์ Cathedral of Christ the Saviour และ Pashkov's house
แต่เราจะไปด้านซ้าย เดินขึ้นไปจะเจอวิวแบบนี้
ระหว่างทางเดินผ่าน Russia State Library มีรูปปั้น Feodor Dostoyevsky ผู้เขียนเรื่องราวสุดคลาสสิค Crime and Punishment (1866) และ The Brothers Karamazov (1880)อยู่ด้านหน้า เรื่องแรกผมไม่มี เรื่องที่สองเคยซื้อไว้ อ่านไปได้แค่สองสามหน้าแล้วยังไม่ได้อ่านต่อเลยถึงวันนี้
เดินลอดทางข้ามใต้ดินแล้วจะออกมาเห็นกำแพงเครมลินอยู่ข้างหน้า ที่จริงดูจากแผนที่แล้ว ถ้าเราออกมาถูกทางตั้งแต่แรกเราน่าจะโผล่มาที่นี่เลย แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปหาที่ซื้อตั๋วเข้าเครมลินตรง Kutafya Tower
เคาน์เตอร์ขายตั๋วต่าง ๆ ให้สังเกตคำว่า KACCA นะครับ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วรถไฟ หรือตั๋วเข้าชมสถานที่ ให้มองหาคำว่า KACCA ครับ
ค่าเข้าชม เฉพาะ Cathedral Square (รวมค่าเข้าชม Exhibitionด้วย ) 350รูเบิ้ล บัตรนักศึกษา 100รูเบิ้ล
Armoury 700รูเบิ้ล บัตรนักศึกษา 200รูเบิ้ล
เราไปถึง 10โมงเช้า ได้เวลาเปิดArmouryพอดี พอซื้อตั๋วชมทั้งสองที่ได้ก็รีบเดินไปทางประตูเข้าArmouryทันที ได้ตั๋วArmouryรอบ 10:00 แต่พอเดินผ่านสวน Alexandrovsky Sadก็เห็นแถวคนรอเข้าชมArmoury ยาวเลย
รูประหว่างทางเดินไปประตูเข้าArmoury
กว่าจะถึงคิวเข้าไปข้างในก็ 10:50น. ข้างในห้ามถ่ายรูป ก็ต้องฝากเสื้อโค้ทและกระเป๋า กล้อง ไว้ด้านนอก ภายในก็จะมีชุดโบราณ รถม้า อาวุธปืน โล่ กระบี่ ชุดเกราะ มงกุฎ และคฑาที่ประดับเพชรเม็ดใหญ่มาก
ก่อนเข้าไปชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์Armoury ด้านซ้ายมือจะเห็นเคาน์เตอร์ขายตั๋วเข้าชม Diamond Fund ค่าเข้าชม 500รูเบิ้ล บัตรนักศึกษา 100รูเบิ้ล ถ้าใครอยากชม ให้แวะซื้อตั๋วก่อนชมArmouryเพราะถ้าซื้อช้า ก็จะได้รอบเย็น หรือตั๋วหมดก็จะอดดูนะครับ พวกเรามาซื้อหลังจากเข้าArmouryแล้ว ก็เลยได้รอบ 5โมงเย็นเลย แต่ยังไม่ใช่รอบสุดท้าย รอบสุดท้ายไม่แน่ใจว่า6โมง หรือ 6โมงครึ่ง
ออกมาด้านนอก สามารถเดินทะลุเข้าเขต Cathedral Square ได้เลยไม่ต้องเดินย้อนออกไปเข้าประตู ด้านนอกอีก
โบสถ์ด้านขวามือคือ The Cathedral of the Archangel ถูกสร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ.1505 และ 1508 ภายในบรรจุศพของกษัตริย์ผู้ปกครองรัสเซียจำนวน 46พระองค์ ตั้งแต่ศตวรรษที่14 จนถึงก่อนพระเจ้าปีเตอร์มหาราชที่ย้ายเมืองหลวงจากมอสโกไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
มีกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่ไม่ได้ถูกฝังอยู่ที่โบสถ์นี้คือ Boris Gudonov ซึ่งหลุมฝังพระศพอยู่ที่ the Trinity Monastery of St. Sergei ที่อยู่ในเซอร์เกฟ โพสาด ซึ่งโอเปร่าที่เราซื้อตั๋วไปดูที่บอลชอยก็แสดงเรื่อง Boris Gudonov นี้ด้วยพอดี
The Cathedral of the Annunciation เดิมเป็นโบสถ์ส่วนตัวของราชวงศ์
Ivan the Great Bell Tower หอระฆังพระเจ้าอีวาน สูง 81 เมตรเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในมอสโกอยู่นานเกือบ 400ปี ปัจจุบันชั้นล่างเป็นที่จัดนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งเราก็ได้ดูด้วย
Church of the Nativity
The Cathedral of the Assumption เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดและสำคัญที่สุดในเครมลิน เป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ย้ายมาจากVladimir ในปีค.ศ.1326
Exhibition นิทรรศการที่ได้เสียค่าตั๋วเข้าชมมาแล้ว ช่วงนี้คือ Treasury of the World. Jewelled Arts of India in the Age of the Mughals เข้าไปข้างในฮีทเตอร์อุ่นจนร้อนเลยทีเดียว มีเพชร พลอ เครื่องประดับสวยงาม ให้ชมมากมายน่าสนใจมาก ถึงจะเป็นเพชรอินเดีย แต่เจ้าของปัจจุบันอยู่ที่คูเวต ดูได้อย่างเดียวห้ามถ่ายรูป
Cathedral of the Twelve Apostles
ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ Tsar Cannon
ระฆังพระเจ้าซาร์ Tsar Bell
Senate Building
Arsenal
State Kremlin Palace
เดินออกมาด้านนอกกำแพงที่ประตูทางเข้า Kutafya Tower ประมาณบ่ายสองเศษ หาของกินแถว ๆ นั้นก็ได้ขนมปังไส้กรอกอร่อยมากเลย แล้วเดินไปทางด้านขวาเพื่อไปที่จตุรัสแดง ตั้งใจจะเดินเล่นรอบ ๆ นี้ เพื่อรอเวลาเข้าชม Diamond Fund ตอน5โมงเย็น
รูปปั้นม้าบริเวณน้ำพุรอบเครมลิน
ด้านนอกกำแพงเครมลิน เข้าไปดูด้านใน กำแพงจะมีรูที่มีเหรียญอยู่ด้านใน เห็นคนรัสเซียเอานิ้วเข้าไปล้วงพยายามแงะเหรียญด้านในออกมา ไม่รู้มีความหมายอะไรหรือเปล่า
Eternal Flame ที่สุสานทหารนิรนามสมัยสงครามโลกครั้งที่2
ทหารยามที่สุสานทหารนิรนาม
Moscow State Historical Museum
รูปปั้นที่เป็นมรดกที่หลงเหลือของยุคสมัยคอมมิวนิสต์รูปนี้คือ Marshal Zhukov ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพรัสเซียในสงครามสำคัญ ๆ หลายครั้ง ในการต่อสู้กับญี่ปุ่นและเยอรมัน รูปปั้นเป็นรูป Zhukov บนหลังม้าที่กำลังเหยียบอยู่บน อินทรี ที่เป็นสัญลักษณ์แทนนาซีเยอรมันอยู่ด้านนอก Moscow State Historical Museum
โบสถ์คาซาน Kazan Cathedral จะอยู่ด้านซ้ายมือ
เดินขึ้นมาอีกนิดก็จะเห็นห้างกุม Gum
และโบสถ์เซนต์บาซิล St.Basil's Cathedral ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
St.Basil's Cathedral สร้างขึ้นในสมัยของซาร์อิวานจอมโหด ระหว่างปีค.ศ. 1555-1561 เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกล โดยมีเกร็ดเล่าว่าเพื่อไม่ให้สถาปนิกได้สร้างสิ่งที่สวยงามกว่าโบสถ์นี้ ซาร์อิวานจอมโหดจึงได้สั่งให้ควักลูกนัยน์ตาของสถาปนิกออก
รูปปั้นหน้าโบสถ์คือ Kuzma Minin & Dmitry Pozharsky ซึ่งได้ขับไล่พวกโปลออกจากมอสโกในปีค.ศ. 1612 รูปปั้นนี้ตอนแรกตั้งอยู่ตรงกลางจตุรัสแดงเลย ต่อมารัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ย้ายมาตั้งอยู่ตรงนี้เนื่องจากกีดขวางทางของขบวนพาเหรดสวนสนาม
ค่าเข้าชม 100รูเบิ้ล บัตรนักศึกษา 50รูเบิ้ล ค่าถ่ายรูป 130รูเบิ้ล ค่าถ่ายวีดีโอ 150รูเบิ้ล
ภายในโบสถ์
บนเพดาน
ออกมาด้านหลังโบสถ์เซนต์บาซิล
รูปจากด้านหลังSt.Basil's Cathedralอีกรูป
แล้วเราก็เดินเลียบกำแพงเครมลินเพื่อพยายามไปที่โบสถ์ The Cathedral of Christ the Saviour ให้ทันก่อนที่จะเข้าไปชม Diamond Fund แต่สุดท้ายดูเวลาแล้วก็ไม่ทัน จึงต้องเปลี่ยนแผนเป็นมานั่งรอเวลาที่สวน Alexandrovsky Sad แทน
Diamond Fund แบ่งเป็น 2ส่วน ส่วนแรกเป็น Modern Hall จัดแสดงก้อนทองธรรมชาติ(gold nugget) ก้อนพลาตินั่ม(Platinum nugget)ที่ใหญ่ที่สุดที่พบในรัสเซีย เพชรขนาดยักษ์และจิวเวอรี่สวย ๆ เท่าที่จำได้ก็มีทับทิม อะมีทิสต์ (Amethyst) มรกต พลอยสีน้ำเงิน สวยมาก ๆ เดินเพลินเลย ข้างในนี้เขาจะมีไกด์บรรยายเป็นภาษารัสเซียให้ด้วย แต่เราฟังไม่ออกก็เลยเดินดูอย่างเดียว
ส่วนที่สองเป็นสมบัติของซาร์ มีมงกุฎ คฑา และ ชุดสร้อยเพชร ดูแล้วก็ตาลุกวาว ประกายเพชรวูบวาบเข้าตาจนมองไม่เห็นอย่างอื่นเลย ที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ก็คือมงกุฎและคฑาของพระนางแคทเธอรีนมหาราช ที่คฑามีเพชร Orlov ที่พระนางได้เป็นของขวัญจากชู้รัก ท่านเคาน์โอลอฟ ประดับอยู่ น้ำหนัก 189.62 กะรัต เม็ดใหญ่มากเหมือนไข่ไก่ผ่าครึ่งซีกมากกว่าเพชร บนมงกุฏเพชรก็มี red spinel(ภาษาไทยเรียกอะไรหว่า) น้ำหนัก 398.72 กะรัต
เพชร Shah ที่เป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยมยาวเหมือนแท่งช็อคโกแลต น้ำหนัก 88.7 กะรัต Ceylon sapphire น้ำหนัก258.8 กะรัต ใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งหมดนี้ดูได้แต่ตาเท่านั้น ห้ามถ่ายรูป ก็เลยไม่มีรูปมาฝากนะครับ เก็บมาแต่ความประทับใจ เมาเพชรไปอีกนานเลย
แล้วก็เดินไปชมโบสถ์แห่งพระเยซูผู้ไถ่ The Cathedral of Christ the Saviour ตามที่ตั้งใจไว้
The Cathedral of Christ the Saviour สร้างขึ้นในปีค.ศ.1839-1883 เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงชัยชนะที่มีเหนือนโปเลียนและสะท้อนความเชื่อว่า รัสเซียสามารถพิชิตวิกฤตทุกครั้งด้วยความเมตตาแห่งพระเป็นเจ้า ซิมโฟนีที่โด่งดังของไชคอฟสกี้ 1812 Overture ก็ได้เปิดแสดงเป็นครั้งแรกที่โบสถ์นี้ ต่อมาสตาลินได้สั่งทำลายโบสถ์นี้เพื่อสร้าง Palace of the Soviets พร้อมอนุสาวรีย์เลนิน แต่ในที่สุดก็ไม่ได้มีการสร้าง แต่กลับกลายเป็นสระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน
ต่อมาในปีค.ศ. 1995 นายกเทศมนตรีของมอสโก Yury Luzhkov ได้เริ่มโครงการสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากชาวเมือง และสามารถสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ในเวลาเพียง2ปีเท่านั้นทันฉลอง 850 ปีกรุงมอสโก ด้วยงบประมาณที่สูงถึง 350ล้านดอลลาร์
วันนี้มาซะค่ำ โบสถ์ปิดแล้ว จึงได้ชมอยู่แต่ด้านนอก ต้องกลับมาอีก
วิวจากสะพานข้ามแม่น้ำหน้าโบสถ์ มองเห็นวังเครมลินอย่างชัดเจน
รูปปั้นพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ที่มีที่มาจากรูปปั้นโคลัมบัส มองเห็นจากสะพานเช่นกัน
แล้วก็ได้เวลามื้อเย็นแล้ว เราเลือกกินแพนเค้ก หรือ Bliny (blini, blinchiki) ที่ขายอยู่ข้างโบสถ์นี้เอง และครั้งนี้แหละที่ถูกโกง เพราะค่า Bliny 4ชิ้นและน้ำอัดลม 2ขวด มีราคาถึง 810รูเบิ้ล ในวันนี้เรายังไม่รู้ตัวครับว่าโดนโกง เพราะเราไม่รู้ราคาเพราะสั่งไปหลายแบบ ใช้วิธีชี้ ๆเอาจากรูปที่ติดอยู่หน้าร้าน และจากที่รู้มาก็คือค่าครองชีพที่รัสเซียแพง เราก็เลยคิดว่าราคานี้คือมาตรฐานของที่นี่แหละ มื้อนึงตกคนละ 200รูเบิ้ล
แต่พออีกสองวันต่อมาเราได้ซื้ออาหารอีกหลายครั้งและได้มีโอกาสกลับมาแถวนี้อีก ก็เลยแวะซื้ออาหารที่ร้านเดิมนี้อีก คราวนี้ซื้อBliny 2ชิ้น และ Berger 2ชิ้น มีราคาแค่ 257รูเบิ้ลเท่านั้น มันเป็นความบังเอิญที่เรากลับมาซื้อที่ร้านเดิมทำให้สังเกตความผิดปกติของราคาที่ซื้อครั้งแรกได้ แต่คนขายเป็นคนละคนกันนะครับ น่าเสียดายที่ร้านนี้ไม่ได้ให้ใบเสร็จทั้งสองครั้ง ก็เลยไม่มีหลักฐานจะจะให้ตรวจสอบได้ แต่คิดจากราคาที่ซื้อครั้งที่สองBliny ราคาประมาณชิ้นละ 70รูเบิ้ล Bergerจะถูกกว่านิดหน่อย
ครั้งแรกมีสั่งไส้พิเศษคือไส้ไข่ปลาแซลมอน แต่ราคาก็ไม่น่าเกินชิ้นละ 200รูเบิ้ล ไส้ธรรมดา 3ชิ้นรวมไม่เกิน 240รูเบิ้ล น้ำ2ขวดรวมไม่เกิน 160รูเบิ้ล นี่เป็นราคาที่คิดให้แบบเผื่อมาก ๆ แล้วนะครับ รวมราคาทั้งหมดแล้วก็ยังได้แค่ 600รูเบิ้ล แต่เขาคิดเงินเราถึง 810 รูเบิ้ล เท่ากับคิดเกินไปถึง 210รูเบิ้ล
แต่ถ้าคิดแบบไม่เผื่อราคาให้เลย จะได้ 180+210+120 จะได้เท่ากับ 510รูเบิ้ลเท่านั้น เท่ากับว่าคิดเกินไป 300รูเบิ้ลทีเดียว
คิดแล้วก็ปวดหัว ปวดใจ เลิกคิดดีกว่า จากเหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า คนขายที่คิดจะโกงเราจะบวกราคาเพิ่มไปโดยอาศัยความไม่รู้ภาษารัสเซียของเรา เราก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นเวลาคิดเงิน
ร้านที่ซื้อก็คือร้านที่อยู่ด้านขวามือ
แล้วเราก็นั่งรถไฟสายสีแดง สายที่1 จากสถานี Kropotkinskaya (Кропоткинская) ไปลงที่สถานี Biblioteka im. Lenina (Библиотека имени Ленина) แล้วเดินไปต่อที่ชานชลาของสายสีน้ำเงิน สถานี Arbatskaya (Арбатская) แล้วออกมาจากสถานี ทางเข้าถนนอารบัตจะต้องข้ามถนนหน้าสถานีไป แล้วมองหาตึกในรูป จะมีคนเดินเข้าออก ตรอกนี้เยอะ ๆ นั่นแหละใช่เลย ถนนอารบัต
มีศิลปินรับจ้างวาดภาพเหมือนอยู่เต็มถนนเลย
คนเดินถนนอารบัต
หนึ่งในตึก Seven Sisters ที่มองเห็นจากถนนอารบัต
เมื่อเดินไปจนสุดถนนใช้เวลาประมาณ45นาที แล้วจะเจอถนนหลักที่มีรถวิ่ง ด้านซ้ายมือจะเป็นตึก Seven Sisters ให้เดินไปทางขวา เดินไปนิดนึงก็จะเจอทางเข้าสถานีเมโทร Smolenskaya (Смоленская) สายสีน้ำเงิน สายที่3 ที่อยู่ด้านใน
ภายในสถานี Smolenskaya (Смоленская) สายสีน้ำเงิน สายที่3
รูปปั้นที่สถานี Ploshchad Revolyutsii (Площадь революции) สายสีน้ำเงิน สายที่3 วันแรกของการเที่ยวมอสโกก็จบเพียงแค่นี้ กลับถึงที่พักสี่ทุ่ม
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
Russia Trip เที่ยวรัสเซีย ไปได้ง่าย ๆ ตอนที่1
ป้ายกำกับ: รัสเซีย, รัสเซีย ท่องเที่ยว, รัสเซีย ทัวร์, Kremlin, Moscow, Russia, russia map, russian, russia travel, St.Basil
เขียนโดย GM TOUR ที่ 13:07
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น